วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

อีสุกอีใสเป็นซ้ำได้อีกระวังโรคระบาดหน้าหนาว โรคที่มากับหน้าหนาว

โรคที่มากับหน้าหนาว จริงหรืออีสุกอีใสเป็นแล้วเป็นซ้ำได้อีก

ผมเห็นข่าวนี้แล้วตกใจ อะไรกันเดี๋ยวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้หมด เรื่องที่ไม่เคยเกิดไม่เคยมี เดี๋ยวนี้มันก็เกิดก็มี เช่นความเชื่อในสมัยก่อนว่าผู้ใหญ่ทานไข่บ่อยๆไม่ดี มีคลอเลสเตอรอลสูง หรือจากความเชื่อความรู้ที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคนในเรื่องอีสุกอีใส ที่รู้กันมาคือ ใครที่เคยเป็นแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก แต่แล้วมันก็ไม่ใช้ความจริงอีกต่อไปแล้ว เพราะในสถานการณ์โลกปัจจุบันคือ อีสุกอีใส เป็นแล้วเป็นซ้ำได้อีก น่ากลัว

อีสุกอีใสเป็นซ้ำได้อีกระวังโรคระบาดหน้าหนาว

โรคที่มากับหน้าหนาว ดร.นายแพทย์ สุวิช ธรรมปาโล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ในปี 2557 นี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง 22 พฤศจิกายน 2557 ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบมีผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสทั่วประเทศจำนวน 79,301 ราย เฉลี่ยวันละ 244 ราย เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556 จึงต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในหน้าหนาว เนื่องจากโรคสุกใสเกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อโดยการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก และน้ำลายของผู้ป่วยเข้าไปเช่นเดียวกับไข้หวัด การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย หรือการสัมผัสน้ำเหลืองจากตุ่มพองใสที่ผิวหนังของผู้ป่วย และเนื่องจากปัจจุบันมีไวรัสโรคอีสุกอีใสสายพันธุ์ใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรง กว่าเดิม ผู้ที่เคยป่วยแล้วจึงสามารถกลับมาป่วยเป็นอีสุกอีใสได้อีกโดยเฉพาะในผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสคนละตัวกันจากที่เคยทำให้เกิดโรคในอดีต

โรคอีสุกอีใส มักเกิดในเด็ก อาการเริ่มด้วยไข้ต่ำๆ ต่อมามีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสในวันที่ 2-3 นับตั้งแต่เริ่มมีไข้ เริ่มแห้งตกสะเก็ดและร่วงในเวลา 5-20 วัน ผื่นอาจขึ้นในคอ ตา และในปากด้วย ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอและให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นอยู่เสมอ หากมีไข้ควรรับประทานยาลดไข้ ประเภทพาราเซตามอล หากมีอาการเจ็บคอหรือไอควรปรึกษาแพทย์ เด็กนักเรียนที่ป่วย ควรให้หยุดเรียนประมารณ 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่มีอาการคันมากอาจใช้ยาทา โดยปรึกษาแพทย์ก่อน ดูแลรักษาผิวหนังให้สะอาด ไม่ควรแกะตุ่มหนอง จะทำให้อักเสบ และควรตัดเล็บให้สั้น สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง เมื่อต้องปฏิบัติงาน และคลุกคลีกับผู้อื่น หากเป็นไปได้ผู้ป่วยต้องหยุดอยู่บ้านเป็นเวลา 3-7 วัน หรือจนกว่าจะหาย

ดร.นายแพทย์ สุวิช ธรรมปาโล กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันโรคอีสุกอีใสโดยทั่วไปเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด และโรคหัด โดยการหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ของเล่น ร่วมกับผู้ป่วย ใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้า ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้ง เวลาไอ จาม ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือใช้แอลกอฮอล์เจล ทำความสะอาดมือ เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อยๆ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ หลักเลี่ยงสถานที่มีคนพลุกพล่าน อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก เป็นต้น และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการป้องกันโรคอีสุกอีใสสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ข้อมูลจาก ryt9.com
ด้วยความห่วงใย JBTจึงบอกต่อ
อีสุกอีใสเป็นซ้ำได้อีกระวังโรคระบาดหน้าหนาว